ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเติมพงษ์ เหมาะสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ มีหนังสือถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2565 กรณีที่ UNIQ ได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในการก่อสร้างโครงการปรับปรุงป้ายชื่อสถานีกลางบางซื่อเป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และตราสัญลักษณ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย มูลค่าโครงการ 33,169,726.39 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ข้อมูลจากเฟซบุ๊ก สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ Krung Thep Aphiwat Central Terminal ระบุ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ขอให้ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อไปแล้ว และได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังว่าทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟฯ และสถานีกลางบางซื่อ ดังนี้
1.พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) ระยะที่ 1 ว่า “นครวิถี”
2.พระราชทานชื่อเส้นทางรถไฟชานเมืองสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) ระยะที่ 1 ว่า “ธานีรัถยา”
3.พระราชทานชื่อสถานีกลางบางซื่อว่า “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์”
อนึ่ง กระทรวงคมนาคมเปิดเผย ว่าการจัดพิธีเปิดให้บริการสถานีกลางบางซื่ออย่างเป็นทางการนั้น รฟท.ประเมินว่าจะดำเนินการได้ภายในต้นปี 2566 เนื่องจากต้องเตรียมติดตั้งป้ายชื่อพระราชทาน รวมไปถึงเร่งเปิดประมูลร้านค้า ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานี
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า จริง ๆ แล้ว การมีสถานีต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้คนถือเป็นเรื่องที่ดี และป้ายสถานีก็ควรจะทำให้คนที่ใช้บริการสามารถเข้าถึงใช้บริการได้ง่าย เหมือนเวลาเราไปต่างประเทศ ในประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศ สถานีต่าง ๆ เขาไม่ได้มีความซับซ้อน ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับพื้นที่ในบริเวณนั้น ๆ ซึ่งอย่างที่เราทราบว่าบริเวณสถานีกลางบางซื่อ แถวนั้นเขาเรียกสถานีกลางบางซื่อหมด ทุกคนเข้าใจว่าตรงนั้นคือสถานีกลางบางซื่อ
แต่พอมีการเปลี่ยนชื่อจะเข้าใจกว่าเดิมหรือไม่ จะช่วยให้ทั้งคนไทยคนต่างชาติที่ใช้บริการ สามารถใช้งานตรงนี้ได้หรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะง่ายขึ้น ตนคิดว่าประเทศเราหากเทียบกับงบประมาณแผ่นดินต่อปี ป้ายนี้มีมูลค่าไม่เยอะ แต่คำถามสำคัญคือมันมีความจำเป็นหรือไม่ ที่เราต้องใข้เงินในการเปลี่ยนป้ายหรือเปลี่ยนชื่อ โดยไม่ได้ทำให้คนมีความสะดวกมากขึ้น และยิ่งเป็นภาระกับเงินภาษีของประชาชนโดยไม่จำเป็น
ถามว่าเงินจำนวน 33 ล้านบาท แพงไปหรือไม่ ส่วนตัวตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้เป็นคนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับป้ายเช่นนี้มาก่อน แต่เงินจำนวน 33 ล้านบาทสำหรับตนนั้น คือการใช้เงินไม่เป็น มันยิ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ใช้เงินภาษีของประชาชนในหลาย ๆ โครงการอย่างเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว เราควรใช้เงินภาษีประชาชนในเรื่องที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้หรือไม่ ตนค่อนข้างผิดหวังที่รัฐบาลใช้เงินแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ